1/12/54

The Mousses - 20 Something

'THE MOUSSES' กับอัลบั้มแรกในชีวิต

บทความนี้จะอธิบายทุกแทรคของอัลบั้มแรกในชีวิตของข้าพเจ้าโดยสังเขปและง่ายต่อการทำความเข้าใจโดยการไม่ใช้ศัพท์ทางดนตรีที่ยากเกินไปจนคนทั่วไปไม่อาจจะเข้าใจมันได้เชิญอ่านครับ


"เจ้าชายกับเจ้าหญิง" เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ทำให้ The Mousses กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ด้วยซาวด์ดนตรีและเนื้อหาที่เข้าใจง่ายขึ้น และแต่งมาจากความรู้สึกส่วนลึกของ ความเป็นจริงของชีวิต ถ้าเรารักใครสักคนหนึ่ง เราก็อยากให้เขามีความสุขที่สุด… แต่ในเมื่อความเป็นจริงเราไม่สามารถทำได้อย่างที่มันควรจะเป็น เราก็ควรปล่อยให้เขาไปอยู่กับคนดีที่สามารถดูแลได้ดีกว่า…เป็นการดีไซน์การ จัดวางเครื่องดนตรี สไตล์ Vintage ต่างๆ เพื่อเล่าเรื่องตามบรรยากาศของเพลง เป็นเพลงที่มีกลิ่นซาวด์ดนตรี ยุค70's เช่น การใส่ Music Box เล่นไปพร้อมกันกับ Acoustic Guitar  เพื่อให้อารมณ์คล้อยตามเหมือนการเล่านิทาน…

"...บ้างไหม? (จุด จุด จุด บ้างไหม)" เพลงฟังสบายๆ  เข้าใจง่าย  และยังคงถ่ายทอดเนื้อหาเป็น Positive Thinking พูดถึงคนรัก คิดถึงคนรักที่อยู่ไกลกัน ไม่ได้เจอกัน อยากจะถามเธอว่าคิดถึงกัน…บ้างไหม   อยากจะกอดฉัน…บ้างไหม เธอเมื่อยรึเปล่าฉันก็จะนวดให้  เพราะฉันคิดถึง อยากกอดและอยากนวดให้เธอ…ยังคงยึดการทำเพลงแบบเดิมที่ฟังง่าย ใช้เอฟเฟค Analog จะทำให้เพลงดู Vintage  ซึ่งเราก็ใช้แบบ Analog มาตั้งแต่เพลงเจ้าชายกับเจ้าหญิงแล้ว และเพลงเจ้าชายกับเจ้าหญิงเราใช้มิวสิคบอกเข้ามาเพื่อเพิ่มมิติของเพลง เพลงนี้ The Mousses ได้ทำ Free Hugs กับแฟนๆเพื่อให้ทุกคนได้รับพลังความรักจากหนุ่มๆ The Mousses ไปเต็มๆ

"สอง เราตราบชั่วนิจนิรันดร์" ในขณะที่ทุกๆอย่างกำลังเดินไปข้างหน้า แต่สิ่งเดียวที่มันกลับถอยหลัง และกำลังหยุดลง คือ หัวใจของผู้ชายคนนี้ที่มันร้องบอกกับตัวเองว่า ผมเจอแล้วกับผู้หญิงคนนี้ ผมพอแล้ว นี่คือสิ่งที่แสนดีที่สุดในชีวิต และสัญญาว่าจะรักเธอไปจนตราบชั่วนิจนิรันดร์ เป็นเพลงที่มีซาวด์ดนตรี indy pop และโดดเด่นด้วยการเล่นโน้ตพร้อมกันของกีต้าร์และสตริง มีสแนร์แบบวินเทจ และมีเมโลดี้ที่สละสลวยมากๆ

"ท้อ" เพลงนี้พูดถึงในช่วงเวลาที่กำลังสิ้นหวัง อ่อนแอ เป็นคำพูดที่เก็บเอาไว้เตือนตัวเองเสมอว่า อย่าเพิ่งยอมแพ้ อย่าไปท้อ เหมือนเป็นการให้กำลังใจตัวเองในวันที่หมดแรงด้วย ให้ลุกขึ้นมาก้าวเดินต่อไป ให้ถึงจุดหมายที่เรากำลังจะไป เพลงนี้สมาชิกในวงมีท่อนร้องกันทุกคนเพื่อรวมพลัง และเป็นกำลังใจ ให้กับคนที่กำลังท้ออยู่

"ลัก" เพลงนี้พูดถึงการสูญเสียคนรักแบบไม่รู้ตัว…อยู่ๆวันหนึ่งคนรักเกิดหายตัวไป  ทำให้คิดไปต่างๆนานา ถึงสาเหตุที่เขาหายไป กุญแจของเพลงนี้ คือการเล่าเรื่องโดยผ่านการเปรียบเทียบในเพลง ที่เธอหายไปน่ะ…“โดนลักพาตัว หรือ เต็มใจไปกับเขา” กันแน่และไม่ว่าเขาจะหายไปเพราะสาเหตุใด ฉันก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เธอ คนนั้นกลับมา…เป็นซาวด์วินเทจเหมือนเดิม เพิ่ม ริน มือคีย์บอร์ดเข้ามาเป็นสมาชิกในวง มีการนำอคูสติคแกรนด์เปียโน  มาใช้ในเพลงเพื่อรับกับสไตล์ BalladRock ส่วนการร้องในเพลงนี้มีการพัฒนาอารมณ์เป็นช่วง จะเป็นอย่างไรต้องลองฟังกันดู

"แม้เธอจะน้อย" เพลงนี้บาส(มือเบส) เขียนขึ้นมาให้กับคนที่รัก เพื่อที่จะบอกว่า “ไม่ว่าเวลาหรือความรักของเธอที่มีให้ จะน้อยเพียงไหน แต่ผมก็จะรู้สึกกับเธอเหมือนเดิม” และความรู้สึกนี้บาสจึงได้รับหน้าที่นักแต่งเพลงและยังรับบทบาทเป็นนักร้อง ในเพลงนี้ด้วยส่วนซาวดนตรีเพลงนี้เป็นเพลงสไตล์อเมริกัน ฮาร์ดร็อคแบบดิบๆ และเป็นเพลงที่หนักที่สุดในอัลบั้ม

"โปรด" ณ วันนี้ที่ไม่มีเธออยู่ข้างๆเหมือนเดิม สิ่งเดียวที่ไม่เคยได้บอก และอยากจะบอกกับเธอในวันนี้คือ “รักของผมนั้นยังคงอยู่ ยังอยากบอกเธอเสมอ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีวันเหมือนเดิม ทั้งๆที่ก็อยากให้กลับมารักกันเหมือนเดิมเหลือเกิน” ได้แต่อ้อนวอนกับท้องฟ้าและดวงดาวให้เธอกลับคืนมาในสักวัน...เพลงนี้เป็นการ ทดลองที่จะทำเพลงสไตล์ ชิลเอ้า ในแบบ เดอะมูส มีทั้งกลองที่ใช้ไม้แส้ เสียงทรัมเป็ต โซโล่ เสียงfender rhodes piano

"จูบสุดท้าย" เนื้อหาและความหมาย…ในเหตุการณ์ของคนที่เลิกรากันไป บ้างก็จากกันไม่ดี บ้างก็ประชดประชัน บ้างก็แค้นฝังใจกันไป มันจะกลายเป็นความเจ็บปวดของทั้ง 2 ฝ่าย เราเลยเลือกที่จะขอ “จูบสุดท้าย” จากคนที่รัก ถือเป็นคำขอครั้งสุดท้ายก่อนจะจากกันไป มันน่าจะเป็นความทรงจำที่ดีต่อกันและกันมากกว่า เป็นเพลงมีจังหวะที่ทำให้ทุกคนขยับไปกับพวกเราได้  เสียงออดอ้อนที่ถือเป็นคำขอและอ้อนวอนให้สมกับเป็น “จูบสุดท้าย” จริงๆ เพลงนี้มีการปรับเปลี่ยนแนวมาเป็นยุค80'sอย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องของการเรียบเรียง การใช้เสียงเครื่องดนตรี และกลองโดยเฉพาะกับคีย์บอร์ดที่ใช้ซาวด์8บิทจากยุคนั้น มาใช้กับเพลงนี้อย่างเต็มที่

"Tears and Travel" Feat. ออน ละอองฟอง เพลงนี้เป็นเพลงคู่ซึ่งในตอนแรกทางวงก็ได้คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นใคร ที่จะมาร้องคู่กับแอร์ดี สุดท้ายก็ได้ ออน นักร้องนำวงละอองฟองมาร้อง Feat ด้วยน้ำเสียงและคาแรคเตอร์ของออนทำให้เพลงนี้มีมิติมากขึ้น  เนื้อหาของเพลง...ผู้ชายคนหนึ่งได้ปลอบใจผู้หญิงที่แอบชอบมานาน ซึ่งผู้หญิงคนนี้อยากจะลืมคนรักเก่า และอยากจะลืมเรื่องราวที่ผ่านมา อยากเดินทางไปที่ต่างๆเพื่อลืม โดยที่มีเราไปเป็นเพื่อนคอยปลอบ คอยซับน้ำตาให้เป็นเพลงสไตล์โฟล์คร็อค เพลงนี้ได้มีการทดลองใช้เมโลเดี้ยน และมีการเล่นสไตล์ mute เบส

"ชีวิตที่เคยมีเรา" เป็นเพลงที่จ๊ะได้แต่งให้กับคุณพ่อที่ล่วงลับไปแล้ว “ถึงแม้ว่าเราไม่อาจจะฝืนโชคชะตาไว้ได้ แต่ยังไงก็ตาม ผมดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของท่าน แค่เราได้มีชีวิตและเกิดมาอยู่ด้วยกัน มันก็คือความสุขที่สุดของผมแล้ว” จ๊ะได้ร้องผ่านเพลงนี้ เพลงนี้เป็นเพลงสไตล์บัลลาดร็อคที่โดดเด่นด้วยโครงสร้าง song form แบ่งชัดเจนระหว่างช่วงแรกที่บรรเลงด้วย grand piano กับครึ่งหลังที่เป็นดนตรีที่หนักหน่วง

"สราญ" พูดถึงมุมมองการใช้วิถีชีวิตแบบสุขนิยม   โดยใช้ความรักเป็นตัวนำทาง    โลกสมัยนี้วุ่นวายมีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์เกิดขึ้น  เครียดบ้างอะไรบ้าง  พวกเราThe Mousses เลยอยากให้ทุกคนรักกันมีความสุข สราญ กัน Sound ดนตรีเพลง “สราญ”?เป็นสไตล์ผสมระหว่างเพลงป๊อบยุค70's กับสไตล์ดนตรีแบบโพสท์พั้งค์ยุค 80 's  ส่วนในด้านเมโลดี้จะมีมุมมองและความคิดลักษณะแบบฮิปปี้จากยุค70's มีการประสานเสียงและการร้องสวนกันแบบนั้น






“TWENTYSOMETHING”
…หลายๆคนพอถึงช่วงอายุ 20 มันเป็นช่วงเวลา ที่ต้องค้นหาตัวเอง ว่าชีวิตจะเดินไปทางไหน บางคนอาจเจอเร็ว บางคนอาจต้องใช้เวลาก็เช่นกัน....ถึงเวลาที่พวกเขาต้องกำหนดชีวิตของตัวเอง ในการเดินทางค้นหาความต้องการ ความรัก ความฝัน พวกเราค้นหา และทุ่มกับสิ่งที่ “ใช่” มาเป็นระยะเวลา 4 ปี ในการทำสิ่งที่ตัวเองรัก นั่นก็คือการเล่นดนตรี เมื่อเป็นเส้นทางที่เลือก ทุกคนก็ต้องบ่มและฝึกตัวเองมากมายหลายอย่าง และกว่าจะเป็นวง The Mousses ในวันนี้ จริงๆแล้วทางเดินมีหลายเส้นทาง เราเลือกเดินไปทางไหนก็ได้ แต่การค้นหาในสิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองฝัน สิ่งที่ตัวเองต้องการและอยากจะเป็น ฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ถึงจุดหมาย มันจะมีค่าและก็ภูมิใจกับที่นั้นที่สุด


ดาวน์โหลดเพลงของพวกเราได้ที่ โทร *1230023 แล้วกดโทรออก อย่ากดวางหูล่ะ

13/11/54

บทกวี อริญลันตา

ไม่รู้ว่าจะเรียกเป็นบทกวีได้ไหม เพราะเหมือนเขียนขึ้นอย่าลวกๆระหว่าการเดินทางทริปใต้เกือบสองอาทิตย์ผ่านพบเจอผู้คนมากมาย เจอเหตุการณ์มากมาย ไปหลายที่หลายเกาะ หลายจังหวัด สิ่งที่เขียนนี้ใช้เวลาว่างระหว่างอยู่บนเรือ ในบาร์ และช่วงเวลาริมทะเล จะทยอยๆลงให้หมดแต่ตอนนี้เอาไปแค่นี้ก่อนขอเรียบเรียงอีกทีแล้วจะจัดให้ชุดเต็ม แล้วเจอกันโอกาสหน้า

บทกวี อริญลันตา

1
อันดามันและแล้วข้าพเจ้าก็มาถึง
ทะเลสีครามแสนไกลมองไปไร้ที่สิ้นสุดนั้น
อยู่ในสายตา
แสงแดดอุ่นระเรือ นั้นฉาบบนผิวกายข้า
ขณะที่ละเลียดควันบุหรี่ลงปอดอย่างช้าๆ
กลิ่นเหม็นคลุ้ง กัญชา จากชายถักเดดร็อคก็ลอง ลอยมา ไม่ต้องพยายามมองหาก็เจอต้นตอ
ข้าพเจ้า สั่งน้ำแข็งเปล่า รินวอดก้าดิบๆลงไป และดื่มให้ชื่นใจ และเพื่อให้พ้นจากวันเหนื่อยๆที่ผ่านมา ปลดปล่อยจิตและกายไปกับวันที่เหนื่อยล้า
จากก้าวแรกที่ได้สัมผัส ทำให้นึกถึงวันเวลาดีๆเมื่อครั้งก่อนซึ่งสอนทำให้รู้ว่า การสร้างประสบการณ์ดีๆกับชีวิตนั้นช่างยากเย็น แต่การลืมมันนี่สิยากกว่า

ยิ้มสิ ฉันบอกตัวเอง เมื่อเริ่มสำเหนียกได้ว่านั้นเป็นการเปิดประตูบานแรกของการรู้จักคนแปลกหน้า ในโลกว่าชนชาติใดแล้วแปรเปลี่ยนจากสถานะคนแปลกหน้าของคนผู้นั้นเป็นมิตรภาพ ที่ไม่ว่าสไตล์ชีวิตจะต่างกันขนาดไหน สูบบุหรี่ ไลท์ หรือ เมนทอล ดื่ม เบียร์ หรือ วิสกี้ สูบ กัญชา หรือ โคเคน นั้นก็ไม่ได้ทำให้เราต่าง แปลก หรือเหนือความเป็นมนุษย์ขึ้น เพราะไม่ว่าจะ ภาษา สีผิว ศาสนา หรือแม้แต่ รอยสัก ไม่ได้แบ่งแยกคำว่า มนุษย์ออกจากกัน ในเมื่อมิตรภาพนั้นสำคัญ ใยจึงไม่หยิบยื่นให้กันละ แค่ขีดเส้นเป็นเขตแดน แล้วนำธงมาปัก มันใช้แล้วหรือ เช้านี้ฉันพบเพื่อนใหม่ มิตรภาพช่างเป็นสิ่งที่ดี แค่อย่างเดียว ถอดหน้ากากของคุณออกก่อนที่จะเริ่มต้นมัน

2
การเดินทางแบบไม่กำหนดจุดหมาย
เหมือนเรากระโจนสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่
แล้วลอยตัว ปล่อยให้คลื่นมันพัดพบไป จะซัดเราไปจนจุดไหนก็ไม่รู้ ถึงแม้เราจะโกหกตัวเองได้ แต่คลื่นลม มันเป็นพยานปากสำคัญอยู่ บางทีการปล่อยให้มันไหลอาจทำให้เรารู้ว่าโลกนั้นกว้างใหญ่ แต่สิ่งที่เกินกว่านั้นอาจทำให้เราตระหนัก ได้ว่า
ลมหายใจของชีวิตไม่ได้มีแค่ คอยนับกำไร คอยเช็ครอบเอว คอยอัพสเตตัส คอยถ่ายรูปอาหารก่อนกิน หรือแม้แต่คอยทำบางสิ่งทั้งๆที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องจะทำไปทำไม อาจจะเพื่อปากท้อง หรือต่อลมหายใจ แต่ถ้าพรุ่งนี้ไม่ได้ตื่นขึ้นมา สิ่งที่อยากทำในวันนี้คืออะไร มนุษย์เราทำเพื่อสนองความอยาก กิเลส ตัณหา แล้วทำไมวันนี้ไม่ทำสิ่งที่อยากทำละ หรือต้องจมอยู่กับคำว่า พอใจ ที่จะเป็นแบบนี้ หรือจะเลือกคำว่า พอเถอะ ฉันจะเลือกสิ่งที่ฉันอยาก

20/10/54

1 พันลำ 1 รำพัน

ชีวิตคนเรามักจะมีสิ่งที่เรียกว่าความเจ็บปวดอยู่ข้างกายเสมอ

บางทีเราอาจจะคิดหรือไม่คิดถึงมันแต่เราก็รู้สึกสัมผัสเรียนรู้มันได้

โดยวิธีทางธรรมชาติที่เกิดจากแรงขับดันทางเพศไม่ว่าจะเป็น

สิ่งมีชีวิตที่ใช้เพศที่หนึ่งหรือสองบางที่สิ่งเหล่านั้นมันอาจจะยัง

ไม่ปรากฏขึ้นมาอย่างเด่นชัดแต่ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วมันคงจะ

เหมือนกับรอยแผลเป็น หรือ รอยสักที่อยู่บนร่างกายเพื่อบอก

เรื่องราวช่วงหนึ่งของชีวิตที่ถ้าเราอยากอยู่กับมันก็ต้องรักษามันไว้

ให้ดีแต่ก็นั่นแหละทำไมบางทีมันอาจไม่อยากอยู่กับเราก็ต้องให้มัน

ไหลออกไปเหมือนไวน์แดงที่กำลังลื่นลงคอขณะที่เรากินแกล้มกับหอยอีรม

ชั้นสถุลในความหมายความจริงของชีวิตนี้อาจหาจุดสิ้นสุดไม่ได้แต่

ความเมาที่มีอยู่ในร่างขณะเดินผ่านสะพานมัฆวานในยามที่สเหลืองกับ

สีแดงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางความเจ้บปวดกันข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัว

เองเป็นแค่ละอองธุลีที่ระหกระเหินบนทางเดินแห่งความบันเทิงและรื่นเริง

ของสังคมบนความทุกข์ระทมของคนจนๆบนแผ่นดินขวานทองขณะที่เข็ม

ทิศไม่อาจจะชี้ถูกทางได้ ขณะที่นาฬิกาตาย ขณะที่ไม้พายสู่ฝั่งฝันของมวล

มนุษย์ชาติต้องหัก ขณะนั้นเค้ากลับมาแล้วก้มกราบแผ่นดินไทยแล้วลุกขึ้น

จับมือกับร่างทรงแห่งพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยหัวขาวสิ่งนั้นอาจทำให้คุณ

ยิ้มขึ้นมาได้บ้างถ้าหากจะมีแม้ความเจ็บปวด

ถ้าอ่านมาตั้งนานเนี่ยข้าพเจ้าอยากจะบอกว่าอย่าลืมถอดปลั๊กไฟหลัง

Shut Down ละมันเปลืองไฟ

วลีที่ 1

ท้องทะเลที่สวยงามฟ้าสีครามมองเห็นแม้กระทั้งปลาทะเลลึก หรือแม้แต่ประการังก็ไมอาจจะรอดพ้นสายตาเราไปได้

อากาศที่แสนสดใส แดดอ่อนกำลังงามบอกกับน้ำทะเลใสๆราวกับว่ามันชักชวนให้เราลงไปค้นหามันเชกเช่นเดียว

กับหญิงขายบริการ ที่เชื้อเชิญเราให้เค้าไปหาด้วยสัดส่วนของหน้าอกที่อวบอัดสมบูรณ์แบบ ปากที่แดงระเรื่อ ผิวที่

ขาวเนียนราวกับน้ำนมบวกกับขาที่เรียวเล็กและสุดท้ายที่ใบหน้าวัยกำดัดของเธอช่างชวนให้เราเข้าไปค้นหาผิด

กันแค่ว่ากระจกกันเธอกับเราเอาไว้ขณะที่ผืนน้ำทะเลกั้นปลาและประการัง อ่อ อีกอย่างสิ ประการังที่สวยงามทั้ง

หลายที่เราเห็นอยู่ไม่ได้มีเบอร์ติดไว้ด้วย


เมื่อรู้สึกตัวก็รู้สึกได้ว่าเรามาทำอะไรอยู่ตรงนี้นั่งเป็นความรู้สึกแรกคิดวาคุณก็คงเคยเป็นในขณะที่มองออกไปรอบๆ

ตัวข้างกายมีแต่ทะเลมองไม่เห็นเกาะ เรากำลังไป เรากำลังไปไหน ... เราอยู่บนเรือ ! มีคนตบไหล่เราให้ตื่นตัวและ

ออกจากภวังค์ความคิดเมื่อครู่นี้ เมื่อเราหันกลับไป "เฮ้ย มึงมาได้ไงวะ ตอนขึ้นเรือมาไม่เห็นมึงเลย" ใช่สิ ในใจเรา

คิด มึงมาได้ไงวะ กูก็ไม่เห็นมึงตอนขึ้นเรือมาเหมือนกัน ไอ้บุญเพื่อนเก่าสมัยอนุบาลที่ไมเคยคิดว่าชาตินี้จะได้กลับ

มาเจอกันอีกเป็นมันเองที่ตบไหล่ผม มึงก็จะไปด้วยเหรอวะ มันถามเรา เออไปที่ไหนวะ

เราตอบ อ้าวไอ้เวรมึงลงเรือมายังไม่รู้อีกเหรอว่ามึงจะไปไหน ทันใดนั้นเองภาพในหัวสมองผมย้อนกลับไปที่

หน้าคอม ก่อนหน้านี้สามวันมีจดหมายอิเล็คทรอนิกที่เรียกกันว่า อีเมล์ ส่งมาหาเราใจความสำคัญโดยย่อคือ

"อริญชย์ มีงานเข้าพิมพ์เมล์นี้แล้วอีกสามวันมาเจอกันทีท่าออกเรือจังหวัดตราด" ลงท้ายไว้ว่าปล.มาคนเดียวนะ

และอย่าลืมของละ ตามด้วยชื่อ ชายคนนึงทีอายุมากกว่าเราบางทีผมนับถือเค้าเหนือพ่อด้วยซ้ำเป็นคนที่เราเรียกเค้า

ว่า ป๋า สงสัยพายุจะลงวะ สนุกแล้วสิมึง ไอ้บุญบอกผม เออแล้วเรือนี้มันไปจอดที่ไหน ขณะที่ความสวยงามรอบๆตัว

แปรเปลี่ยนเป็นฟ้่าทีใสเริ่มดูหม่นหมองทะเลเริ่มร้องคลื่นเริ่มสาดซัดรุนแรงราวกับว่าเราไปทำให้มันโกรธจะด้วยอะไร

ก็แล้วแต่ เสียงหัวเราะของชายหนุ่มขี้เมาที่เหมือนจะได้ยินการสนทนา ของเราเมื่อครู่ได้หัวเราะออกๆมา ฮาฮาฮา

มาเลยเข้ามาเลยไอ้พายุส้นตีน กูไมกลัวมึงหรอก กูรอเจอมึงมานาน แล้ว วันนี้แหละ กูจะชำระแค้นกับมึง เมฆหนา

อยู่ดีๆก็มารวมตัวกันเหมือนจงใจจะเล่นงานเรือทีเราโดยสารอยู่แต่ขณะเดียวกันเราก็สำนึกสำเหนียกขึ้นมาได้ว่า

ที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดคือกูมาทำอะไรบนเรือนี้ว่ะ.........

ดนตรีตะวันตก และ ดนตรีตะวันออก

ดนตรีตะวันตก และ ดนตรีตะวันออก
ดนตรีตะวันตก และ ดนตรีตะวันออกนั้นสำหรับตัวข้าพเจ้าเองคิดว่า เริ่มมาตั้งแต่ การกำเนิด จวบจนมาถึงการพัฒนามาสู่ยุคปัจจุบัน เมื่อมนุษย์เราพยายาม มองอะไร ให้เข้าใจ ในระนาบที่สูงขึ้นมา ดั้งนั้นจึงมีสิ่งที่เรียกว่า อีโก้มาเป็นกำแพงขวางกั้น ประกอบในหลายๆสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับ ดนตรี สอง ชนิดนี้ เช่นดนตรี อินเดีย ซึ่งไม่มีกรอบตายตัวเหมือนดนตรีตะวันตก แค่เพียงเล่นตามแนวทำนองหลักของคีตกวี และมีข้อจำกัดเล็กน้อย นักดนตรีก็สามารถด้นไปได้ รวมทั้งกุมกฏเกณฑ์ ท่วงทำนอง เฉพาะของเพลงนั้นๆไว้ และแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ ถึงอารมณ์แห่งดนตรีกาล ภายใต้กรอบทั่วไป ซึ่งดูเหมือนดนตรีแจ๊สซึ่งก็เป็นแขนงหนึ่งในดนตรีตะวันตก แต่เกิดจากคนดำ ไม่ใช่ คนขาว แต่ก็ต้องยอมรับว่าดนตรีแขนงนี้มีคนขาวช่วยพัฒนามา บางคนที่อินจัด ในเรื่องนี้ ถึงขนาดกล่าวว่าคนขาวขโมยเอารูปแแบบของดนตรี บลูส์พื้นฐาน ซึ่งเป็นแกน ของดนตรี แจ๊ส ไป ยำ และพัฒนา เป็น ดนตรี ร็อค ในยุคแรกเริ่ม แต่ดนตรี ยุโรป อย่าง ดนตรี คลาสสิค ได้ก้าวย่างห่างไกลไปจากความ เป็น ศิลปะสมัยนิยม และ อารมณ์ความรู้สึก พื้นๆที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ ด้วยเวลา และอะไรหลายๆอย่างก็ตาม และก็ยังต้องคงไว้ เพราะนั่นแหละคือความเป็นไปได้ ทางเดียว ที่จะมีจารีตทางศิลปะการดนตรีที่หนักแน่นจนส่งผลกระทบ ต่อจิตใจขอ ง มนุษย์ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม้ในแนวทางนี้จะยังมีอิสรภาพในดนตรีแต่ตัวข้าพเจ้า กลับฟังแล้วรู้สึกถึงทหารซึ่งฟังแล้วรับรู็ถึงความมีระเบียบ วินัย แบบแผน ที่อยู่บน ความซับซ้อน ที่สืบต่อกันมานานในดนตรีแขนงนี้ ซึ่งก็เป็นเสน่ห์อีกหนึ่งอย่าง ขณะที่ดนตรีในตะวันออกอย่างดนตรีอินเดีย สามารถเปลี่ยนคำร้องหรือเพิ่มคำร้องได้ ซึ่งข้าพเจ้าเรียกมันว่าเรียกว่ามีเสรีภาพทางกวี บนบทเพลงที่สุนทรีย์ ทั้งๆที่ไม่รู้ ความหมายแต่รับรู็ได้บางคนอาจจะคิดว่าแล้วเสียงที่ออกมามันจะผสาน กันอย่างลงตัวรึ ซึ่งมันเหมือนกับสีงานจิตกรรมต่างๆที่ถ้ารู้หลักแล้ววาดมันออกมา ก็อาจจะดีได้เหมือนทำนองหลักแต่ความรู้เรื่องสีถ้ามีแค่พื้นฐานเอามาใชงาน้ ก็จะออก มาระดับนึงแต่ไม่มีทางเกินนั้นเพราะเรารู้แค่นั้นแต่การที่เราโยงเส้นสายของ ภาพและสีทีแตกต่างออกไปเข้าด้วยกันก็จะเกิดงานที่สร้างสรรค์แบบใหม่ๆตราบใด ที่เราไม่ใช้มันจนเปรอะเลอะเทอะจนเกินไปมันก็จะออกมาดีได้ ตัวข้าพเจ้าเองก็ได้รับอิทธิพลและ ความ รู้สึกที่ยิ่งใหญ่จากดนตรีตะวันตกทั้งๆที่เป็นคนจากตะวันออกจริงๆและเราควร มองผล กระทบขอนดนตรีตะวันตกและตะวันออกที่ส่งผลต่อมนุษยอย่างลึกซึ้งและแท้จริง มากกว่ามากกว่าเพราะมันไม่มีประโยชน์ออะไรที่จะเอามาวัดกัน วิเคราะห์กันอย่าง เอาเป็นเอาตายหรือเป็นเหตุเป็นผลได้ เพราะมันวัดกันไม่ได้
อริญชย์ ภาณุเวศย์ 17/03/2010

ดนตรี ขีวิต สิ่งแวดล้อม

ดนตรี ขีวิต สิ่งแวดล้อม

ดนตรี คือ เสียงที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ และมีแบบแผนโครงสร้าง เป็นรูปแบบของกิจกรรมเชิงศิลปะของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง โดยดนตรีนั้นแสดงออกมาในด้านระดับเสียง (ซึ่งรวมถึงท่วงทำนอง และเสียงประสาน) จังหวะ และคุณภาพเสียง(ความต่อเนื่องของเสียง พื้นผิวของเสียง ความดังค่อย) ดนตรีนั้นต้องออกมาจากใจหรือมันสมอง สามารถใช้ในด้าน ศิลปะหรือสุนทรียศาสตร์ การสื่อสาร ความบันเทิง รวมถึงใช้ในงานการค้าธุรกิจซึ่งจริงๆแล้วไม่ควรทำมันให้ค้าขายแต่ควรทำมัน ให้เป็นปกติแล้วให้มันทำงานของมันเอง

ชีวิต คือสถานะที่แยกสิ่งมีชีวิตหรืออินทรีย์ออกจากสิ่งไม่มีชีวิตหรืออนินทรีย์ และสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว สิ่งมีชีวิตเติบโตผ่านกระบวนการสันดาป การสืบพันธุ์และ การปรับตัวต่อการ เปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อม สิ่งมีชีวิตหลากหลาย ชนิดสามารถพบได้ในชีวมณฑลของโลก ส่วนประกอบทั่วไป ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ - พืช สัตว์ เห็ดรา โพรทิสต์ อาร์เคีย และ แบคทีเรีย - คือ เซลล์ที่มีส่วนของน้ำและคาร์บอนเป็นหลัก และ เซลล์แหล่านี้ถูกเรียบเรียง อย่างซับซ้อนตามข้อมูลจากหน่วยพันธุกรรม สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการ สันดาป เพิ่มความสามารถในการเจริญเติบโต ตอบสนองต่อสิ่งรอบตัว และ มีการปรับตัวและวิวัฒนาการโดยการผ่านการคัดเลือก โดยธรรมชาติ สิ่งที่มี คุณสมบัติเหล่านี้เท่านั้นที่ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิต

สิ่งแวดล้อม
คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมนุษย์ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต รวมทั้งที่เป็น รูปธรรม(สามารถจับต้องและมองเห็นได้)และนามธรรม (ตัวอย่างเช่น วัฒนธรรมแบบแผน ประเพณี ความเชื่อ) มีอิทธิพลเกี่ยวโยงถึงกัน เป็นปัจจัยในการเกื้อหนุนซึ่งกันและกันผลกระทบจากปัจจัยหนึ่งจะมีส่วนเสริม สร้างหรือทำลายอีกส่วนหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ สิ่งแวดล้อมเป็นวงจร
และวัฏจักรที่เกี่ยวข้องกันไปทั้งระบบ

22/3/54

วิธีเช็คว่าแบทหมดหรือปิดเครื่อง

วันนี้ขอขั้นเรื่องดนตรีไว้สักพักเปลี่ยนเป็นเรื่องเทคโนโลยีที่ต้องเจอกันอยู๋ในชีวิตประจำวันดีกว่าเผอิญว่าไดเไปอ่านเจอมาแต่ยังไม่ได้ลองเพราะแบทยังไม่หมดยังไงก็ลองเอาไปใช้ดูละกันนนะคือ เมื่อเรากดปิดเครื่อง ก่อนปิดเครื่องเครื่องจะส่งสัญญาณไปบอกระบบว่า "ฉันจะปิดเครื่องแล้วนะ" ผลที่เกิดก็คือ เมื่อโทรเข้าจะได้ยินคำว่า "ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก" แต่ถ้าแบตหมดหรือไม่มีสัญญาณ เครื่องจะยังไม่ทันส่งสัญญาณไปบอกระบบ ผลที่เกิดคือ ระบบจะไม่รู้ว่า คุณปิดเครื่อง จึงทำการค้นหาสัญญาณ ทำให้เกิดช่องว่างที่เป็นเสียงเงียบอยู่ประมาณ 5-10 วินาที ก่อนที่จะได้ยินคำว่า "ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก" ง่ายแค่นี่เองใช่มั้ยแหละจาก Tip ใน FB ของคุณ Aom Mo ยังไงก็ต้องไปลองดูกันนะว่าใช้ได้จจริงไหมส่วนตัวแล้วตอนปิดเครื่องเองก็เป็นแบบที่กล่าวไปจริงๆ [Dtac] ก็ลองดูละนะกันสำหรับสาวๆที่ชอบจับผิดแฟน แต่สำหรับหนุ่มๆจริงแล้วผมมีวิธีหลบหลีกที่เหนือชั้นกว่านี้แต่คุณต้องใช้ iPhone ส่วน BB หรือ Smartphone อื่นข้าพเจ้าไม่รู้เพราะจนอยู่ยังไม่มีปัญญาหามาครอบครองหลายเครื่องไว้วันหลังจะมาเเขียนต่อวันนี้เผ่นละ

10/3/54

กุหลาบปลายปืน 3

21 กรกฏาคม 1987 อัลบั้มแห่งประวัติศาสตร์ Appertite for Destruction ก็ออกวางจำหน่ายในอเมริกา และเดือนสิงหาคม ก็วางจำหน่ายที่อังกฤษตามคาดปกล็อตแรกโดนเซ็นเซอร์และถูกเรียกเก็บทันทีใน บางประเทศข้อหาไม่ผ่านตาผู้ประพฤติชอบตามศีลธรรมและมีอันจะกิน ใครที่ครอบครองไวนิลปกล็อตแรกรู้ตัวไว้เลยว่ามันมีข้ามากแต่ถ้าไม่อยากเก็บ ละก็เมล์มาขายผู้เขียนได้นะ
หลังจากที่วงปล่อยมิวสิควีดีโอตัวแรก Welcome To The Jungle พวกเค้าก็ดังระเบิดภายในชั่วข้ามคืน MTV ในยุคนั้นก็เหมือน Youtube ในสมัยนี้ ถือว่าเป็นสื่อที่มีความสำคัญมากสำหรับวงการดนตรีระหว่างการทัวร์ก็มีเหตุการณ์มากมายเช่น AXl พูดถึงร็อคสตาร์รุ่นเก่าก่อนที่กระแนะกระแหนพวกเค้าพี่แกเลยตอกกลับด้วยการพ่นเช่นประโยคนี้ people like Paul Stanley from Kiss can suck my dick! And some of these old guys, that say we're ripping them off, maybe they should listen to some of their earlier albums and remember how to play them"ก่อนที่จะเล่นเพลง Move To The City ในการแสดงที่ The Paradiso in Amsterdam, The Netherlands. และในการทัวร์นี้สมาชิกในวงเกือบทุกคนอยู่ในสภาวะหัวใจติดยาเสพติดจริงๆเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาที่เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยตอนบันทึกเสียง Appitite  แล้วถึงขนาดว่ามีการตั้งกฏกันขึ้นมาว่าในห้องอัดห้ามมีอื่นใดนอกจาก บุหรี่ และ กาแฟ แต่หลังจากเสร็จงานแล้วก็ตัวใครตัวมันล่ะ ทั้งโปรดิวซ์เซอร์ และผู้จัดการวงก็ต่างรู้ว่าถ้าเป็นนองห้องอัดแล้วใครก็ยากที่จะเอาพวกตัวแสบพวกนี้อยู่ ซึ่งพวกมันขึ้นชื่อมากในเรื่อง เล่นหนัก ดื่มหนัก เสพหนัก ถ้าเจอวงที่มีไลฟ์สไตล์เหมือนๆกันแล้วออกทัวร์ด้วยกันคงจะมีแต่เรื่องมันส์ๆเกิดขึ้นทุกนาที ต่อมาทางวงได้มีโอกาสได้รับเชิญไปออกรายการ MTV's Headbanger's Ball. ซึ่งพอจบรายการทางวงได้พังข้าวของและฉากซะเละคลิปนี้ยังหาชมได้ใน Youtube ในเดือน พ.ย. 87 G N'R ได้เล่นเปิดให้ Motley Crue เมื่อวงสไตล์เดียวกันมาเจอกันก็มันส์สิครับท่านในทัวร์นี้เองที่Slash กับ Steven Adler ได้ช่วย Nikki Sixx ให้รอดพ้นจากความตายที่เกิดจากอาการน็อคยาหรือโอเวอร์โดสเพราะเสพ โคเคน และ เฮโรอีน พร้อมกันมากเกินขนาดวงในเค้าว่ากันว่าหมอบอกว่า Nikki Sixx หัวใจหยุดเต้นไปสัพักแล้วแต่หมอเค้าปั๊มกลับมาให้เต้นใหม่อีกครั้ง คนพันธุ์ร็อคนี่มันอึดจริงๆ ในขณะที่ออกทัวร์อย่างโหมกระหน่ำอัลบั้ม Appertite for Destruction ก็เริ่มไต่ลำดับใน BillBoard ต้นปี 88 ทางวงบันทึกเสียงเพลงอย่าง "Patience", "Used To Love Her", "One In A Million", "Cornchucker" และเพลงเก่าในเวอร์ชั่นใหม่อย่าง "You're Crazy" ที่กะว่าจะนำไปอยู่ใน B-sides หรือไม่ก็ EP. ต่อมาทางวงได้เล่นเปิดให้ Iron Maiden วง NWOBHM ที่รอดและหลงเหลือมาถึงยุคนี้อย่างยิ่งใหญ่และเกรียงไกรซึ่ง Axl และ Slash เคยพูดถึง Bruce Dickinson แบบเหน็บๆถึงในเรื่องเสื้อผ้าตอนที Bruce เดินเข้ามาที่ห้องแต่งตัวของ G N'R ด้วยสภาพขาเดฟเฮฟวี่เต็มสูบสไตล์ Iron Maiden ในยุคปลายยุค 80 แล้วถามทั้งสองว่าเป็นไงมั้งลุคฉันเท่ไหม ทั้งสองบอกไปว่า สวดยวดเลยลูดเพ่ แต่ในใจกลับหัวเราะและแอบขำในความเสี่ยวของไอ้หนุ่ม เฮฟวี่ ผู้พี่ในขระทัวร์นี้เองเพลงก็ทำหน้าที่ของมันไปตามระบบจน Sweet Child O'Mine ขึ้นอันดับหนึ่งของซิงเกิ้ล แต่ด้วยที่วงใช้ชชีวิตหนัก โชว์บางโชว์ต้องแคนเซิลเพราะ Axl ไม่มีเสียงที่ไหวพอจะร้อง แต่แล้ววันนี้ก็มาถึง 23 กรกฤาคม 1988 อัลบั้ม Appitite For Destruction ก็ขึ้นไปจนถึงอันดับ 1 ของ BillBoard
ทางวงไม่รอช้าปล่อย Footage ของเพลง Paradise ต่อมาทันที และวงได้ไปเล่นในเทศการดนตรี Monster Of Rock ที่ Castle Donington, England แต่ด้วยการแสดงอย่างเมามันส์แฟนเพลงในแนวหน้าถูกชนกระแทก และเบียดจน เสียชีวิตสังเวยไปสองศพ ระหว่าง G N'R สำแดงความเมามันอยู่กลับมาที่อเมริกา เพลง "Welcome To The Jungle" ทำให้วงได้รับรางวัล The Best New Artist ที่งาน MTV's Video Music Awards โชว์ที่ Texas Jam in Irving นั้น Axl พอๆกับอุจจาระเพราะเค้าโดนโตเตยเข้าไปมากมายเท่านั้นยังไม่พอทางวงได้ขึ้นปกนิตยสาร Rolling Stone magazine's ฉบับที่ 539 ซึ่งเป็นนิตยสารดนตรีร็อคชั้นนำเหมือน Rokz นี่แหละแถมทุกวันนี้หัวนี้ยังมีวางขายอยู่ซึ่งหน้าปกโปรยไว้ว่า Guns N' Roses Hard Rock Heroes วันที่ 30 พฤศจิกายน 1988 ทาง Geffen และทางวงก็ปล่อยอัลบั้มซึ่งเป็นงานรวมเพลงเก่าๆ ของพวกเค้า และเพลงที่เล่นในแบบ Acoustic ออกมาคือ Lies! The Sex, The Drugs, The Violence, The Shocking Truth แต่หลายๆ คนบอกว่ายาวฉิบหาย ก็เลยเปลี่ยนเป็น G N' R Liesความแรงไม่หมดเพียงเท่านั้นเพราะอัลบั้มนี้ขึ้นไปอยู่ในอันดับสองและ Appitite อยู่ในอันดับ 1 ซึ่งไม่มีศิลปินหน้าไหนเคยทำแบบนี้ได้เลยในยุค 80 แต่แล้วปัญหาก็ตามมาเพลง One In A Million โดนกล่าวหาว่ามีเนื้อหาส่อ เสียด ไปในทางเหยียดสีผิว และพวกรักร่วมเพศ แต่ไม่มีเหตุการไหนที่จะโด่งดังเท่าอันนี้ หลังจาก G N' R ได้รับรางวัล Best Heavy Metal/Hard Rock Video ได้จากเพลง Sweet Child O' Mine ด้านห ลังเวที Vince Neil ต่อยปาก Izzy จนปากของ Izzy แหกเพราะแหวนที่นิ้หลังจากนี้ทางวงได้เล่นเปิดให้ Rollnig Stone แค่โชว์แรกก็เป็นเรื่องแล้ว Axl พูดออกไมค์ว่า "I hate to do this on stage. But I tried every other fucking way. And unless certain people in this band get their shit together, these will be the last Guns N' Roses shows you'll fucking ever see. Cause I'm tired of too many people in this organization dancing with Mr. Goddamn Brownstone."หลายคนอาจจะงงว่า  Mr.Brownstone คืออะไรแน่นอนมันคือชื่อเพลงหนึ่งเพลงในอัลบั้มแรกของวงคือ Appitite แต่มีหนังสือบางเล่นที่แปลเพลงในสมัยก่อนแปลเพลงนี้แล้วความหมายเพี้ยนไปหมดเพราะไม่เข้าใจในความหมายของคำนี้ซึ่งคำๆนี้หมายความว่า เฮโรอีน ซึ่งเหมือนที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า แป๊ะ หรือ แค๊ป นั่นแหละ หลังจากโชว์นี้ Slash, Izzy และ Steven สัญญาว่าจะเลิกยาและเข้ารับการบำบัดจบปีนี้ไปอย่างไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่

9/3/54

กุหลาบปลายปืน 2

ประวัติของวง Guns N Roses

ตำนานของ Guns N'Roses เกิดขึ้นในปี 1983 ที่ Los Angeles เมื่อ William Bailey หรือ Axl Rose ร้องนำ [ไม่รู้ทำไมนักดนตรีสมัยนั้นชอบตั้งชื่อกันขึ้นมาใหม่]ซึ่งเคยผ่านวง Rapidfire มาและ Jeffrey Dean Isabal หรือ Izzy Stradlin กีต้าร์ ซึ่งเคยอยู่กับวง Naughty Women มาก่อนซึ่งทั้งสองมาจากเมืองเดียวกันคือ Lafayette, Indiana.  กำลังฟอร์มวงที่เค้าคิดว่าจะต้องเป็นวงร็อคที่เจ๋งที่สุดในโลกในนาม A.X.L.เปลี่ยนมาเป็น Rose และจบที่ Hollywood Rose ซึ่งมีสมาชิกผ่านเข้าออกมากมายอาทิเช่น Chris Weber, Rick Mars, Johnny Kreis, Andre Troxx ร่วมถึงสมาชิกของ LA.Guns เล่นดนตรีร็อคในแนวทางเดียวกับ Hanoi Rock, Motley Crue, Faster Pussycat ซึ่งช่วงนั้นแวดวงดนตรีร็อคใน L.A.กำลังคึกคักมีวงร็อคที่กำลังเกิดขึ้นมากมายที่พร้อมจะไขว่ขว้าความสำเร็จเหมือนๆพวกเค้าอีกเป็นหมื่นๆวง ...
          ปี 1984 Izzy ขอแยกตัวไปอยู่กับวง London ส่วนตัว Axl ออกไปอยู่วงใหม่ชื่อ LA.Guns ส่วนทางด้าน Michael Andrew McKagan หรือ Duff McKagan ในขณะนั้นกำลังใช้ชีวิตนักดนตรีอย่างโชกโชนทั้งตีกลอง เล่นกีต้าร์ เล่นเบส กับวงหลายๆวงเช่น The Fastbacks, Silly Killers, the Fart
ช่วงสิ้นปี Hollywood Rose กลับมารวมตัวกันใหม่อีกและ Tracii Guns เข้ามาเล่นกีต้าร์ ย่างเข้าปีใหม่ Duff McKagan หันมาเล่นเบส แล้วได้รู้จักกับ Saul Hudson หรือ Slash และ Steven Adler เล่นดนตรีอยู่ในวงชื่อ Road Crew หรือวง Tidus Sloan เก่านั้นเอง Riff Guitar แรกของเพลง Paradise City ก็ออกมจากการด้นโชว์สดๆของ Slash นั้นตอนที่พวกเค้าพบกันครั้งนี้นั้นเอง กลับมาทางด้านของ AXl และ Izzy LA. Guns ตัดสินใจรวมวงกับ Hollywood Rose โดยมีสมาชิกคือ Axl Rose (vocals), Izzy Stradlin (guitar), Tracii Guns (guitar), Ole Beich (bass) and Rob Gardner (drums) ส่วนชื่อวงได้มาจากการรวมชื่อของสองวงนี้เข้าด้วยกันโชว์แรกเกิดขี้นที่ Dancing Waters in San Pedro, CA.  หลังจากโชว์ที่ Timbers Club in Glendora, CA.Duff ได้เข้ามากระตุกเบสแทน Beich ทางด้าน Tracii Guns เหมือนรู้ทันนิสัยของ Axl จึงออกจากวงกลับมาทำ LA,Guns ใหม่ ทางด้าน Duff ซึ่งเคยเล่นกับ Road Crew อยู่จึงแนะนำ Slash ให้มาเล่นกับ Guns N' Roses ซึ่งก็ง่ายมากเพราะ Axl กับ Slash และ Izzy รู้จักคุ้นเคยและเคยเล่นด้วยกันมาอยู่แล้วส่วนมือมือกลอง Rob Gardner ซึ่งออกไปอยู่กับ LA.Guns ซึ่งตำแหน่งนี้ถูกแทนที่ด้วยซี้ของ Slash นั่นคือ Steven Adler อย่างไม่ต้องสืบและนี้คือ Line Up ที่สุดแสนจะ Classic  หนึ่งของวงการ Hard Rock ยุค 80 หรือที่คนแก่แนวๆเค้าชอบเรียกว่า  G N'R Classic Line Up

ช่วงเดือน พค 85 G N'R ได้ออกทัวร์ชื่อ Hell Tour   พวกเล่นโชว์เก็บเกี่ยวเคี่ยวกรำตัวเองพร้อมกับแต่งเพลงไปด้วยเหมือนเด็กร้อนวิชาบ้าพลังในระหว่างที่พวกเค้าโชว์นั้นเค้าได้มีเพลงอย่าง Welcome To The Jungle, Nightrain, It So Easy, Dont Cry, Paradise City อยู่ในมือแล้วรวมถึงเพลงเก่าจาก Hollywood Rose ที่นำมาขัดเกลาใหม่อย่าง My Way - Your Way  ซึ่งกลายเป็น Anything Goes และ Wreckless เป็น Reckless Life ทางด้านเพลงคัฟเวอร์พวกมันก็เลือกได้เท่และเก๋ไม่หยอกเพลงของวงอย่าง Aerosmith ("Mama Kin"), Elvis Presley ("Heartbreak Hotel") and The Rolling Stones ("Jumping Jack Flash") ถูกนำมาประเคนในโชว์เพื่อเอ็นเตอร์เทนความมันส์ความเร้าใจให้กับผู้ที่เข้าโชว์ไปร่วมสดับรับฟังเมามันส์ไปโชว์กับพวกมันพร้อมกับการกลับบ้านที่ Sunset Boulevard ที่พวกมันตั้งชื่อไว้ว่า The Hell House ด้วยสภาพยากจกต้องยังชีพด้วย ไวน์ถูกและขนมปัง biscuits แต่สิ่งที่มันได้มานั้นคือโชว์ช่วงปลายปีพวกมันได้รับความนิยมอย่างมาก คลับที่พวกมันไปแสดงได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลาม โดยที่คลับเหล่านั้นก็ต้อนรับศิลปินระดับโลกมาแล้วมากมาย คลับพวกนี้ก็คือ Whisky a Go-Go, Roxy, The Water Club, จากคำโปรยใน Flyer ที่โชว์ที่ Troubadour in Hollywood, CA. ทืั้เขียนไว้ว่า
The flyer for the show says: "Get Yourself Together, Drink Till You Drop, Forget About Tomorrow, Have Another Shot. Happy New Year! From the boys who brought you the most chaotic shows of 1985 คงทำให้หลายๆคนตระหนักอะไรได้ว่าหนึ่งว่าพวกมันเดินมาถูกทางแล้วและสองไอ้พวกนี้มันไม่ธรรมดาโว้ยย และแน่นอนเมื่อเริ่มดังก็จะเริ่มมีค่ายเพลงมาสนใจพวกมันก็ได้เซ็นสัญญากับ Geffen Record และพวกเค้าก็เริ่มทำอัลบั้มที่ Rumbo Studio สัญญาถูกร่างขึ้นในวันที่ 25 มีค.85  ซึ่งขณะนั้นวงบันทึกเสียงอัลบั้ม Appitite For Destruction ไปพร้อมเล่นโชว์ไปด้วยทั้งแบบเต็มวงและอคูสติกโชว์ พร้อมกับเพลงใหม่ๆอย่าง Sweet Child O' Mine," "Mr. Brownstone" and "Ain't Going Down" และได้เล่นเปิดให้วงมากมายอย่าง Cheap Trick, Rad Hot Chili Paper แต่ก็เหมือนกันตั้งแต่ยุคนั้นถึงยุคนี้ทางต้นสังกัดยังไม่ไว้ใจที่จะปล่อยอัลบั้มจึงลองวาง EP. 4 เพลงชื่อ Live ?!'@ Like A Suicide" ในนามสังกัด Uzi Suicide label.ของงทางวงออกมาก่อน 10000 Copy หน้าปกจำง่ายเป็นสัญลักษณ์แบบดั้งเดิมกับรูปของ Duff และ Axl ในวัยประทวนและจบปี 86ด้วยปาร์ตี้ที่ Cathouse in Hollywood, CA. ฉลอง Ep. Live ?!'@ Like A Suicide คลอดพร้อมกับอัลบั้ม Appitite บันทึกเสียงเสร็จเรียบร้อบอย่างสวยงามพร้อมโดยที่เส้นทางที่สวยงามราวกับว่าโรยด้วยกลีบกุหลาบนั้นกำลังเข้ามาหาโดยที่วงยังไม่รู้ตัวว่าแต่ว่าคนไทยโบราณพ่อแก่แม่เฒ่ามักจะบอกเสมอว่าความสำเร็จมักมาเยือนพร้อมหายนะ.......
ติดตามต่อภาค 3 นะ

28/2/54

กุหลาบปลายปืน

ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา [1]
สำนวนจีนแบบนี้ใช้ได้กับหลายๆสถานการณ์และเหตุการณ์ มันเหมือนกับมีการเริ่มต้นก็ต้องมีจุดจบ เมื่อมี พบกัน ตามด้วย ผูกพัน จบด้วย ลาจาก เป็นเรื่องปกติของวัฐจักรชีวิตในทุกๆเรื่องไป ดั่งที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่ามีเกิดก็ต้องมีดับใช้ได้กับทุกๆเรื่องจริงๆแม้แต่ วงร็อค ที่ว่าแน่ เท่ เจ๋ง เก่ง เปรี้ยว ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกันหลายวงต้องจบไปเพราะความตาย การแตกหัก ความเห็นไม่ตรงและไม่ลงรอยกัน เรื่องผลประโยชน์ เงินทอง ทรัพย์สิน เรื่องผู้หญิง ยาเสพติด และอีกมากมายหลายปัจจัยและสาเหตุสุดแท้แต่จะคาดเดากันไปเพราะหลายคนไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้นๆจริงๆ บ้างฟังเค้ามา บ้างรู้เรื่องจริง บ้างนั่งเทียน ไอ้ตัวเราก็คงเป็นสักหนี่งในวงจรนั้น แต่หนทางชีวิตคนเราต้องเดินต่อไป บางวงเลือกจบ บางวงเลือกเดินต่อ บางคนเลือกเดินเดี่ยวๆ บางคนเลือกเดินต่อเป็นกลุ่ม แล้วแต่ทางใครทางมันแต่พูดมาซะเนินนานนี่ก็ไม่ได้มีอะไรมากแค่อยากจะพูดถึงการจากเลิกราของวงดนตรีวงหนึ่ง ที่เคยประสบความสำเร็จๆในทุกๆด้านทั้งโชว์ที่ทรงพลัง เพลงที่สุดมันกระเส่าเร้าใจและในขณะเดี่ยวกันที่กระชากอารมณ์หวานซึ้งแทบบาดก้นบึ้งของหัวจิตหัวใจ เคยจับคู่ทัวร์กับวง Metal ระดับโลกอย่าง Metallica ด้านชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่วโลก เงินทองไหลมาเทมา ในด้านชีวิตผ่านร้อนหนาวมานับไม่ถ้วนโดยเฉพาะเรื่อง เหล้า ยา ปลาปิ้ง ผู้หญิง กระทิง กระเทย มีคนเคยเปรยไว้ว่า วงดนตรีวงนี้มัน ดื่มทุกอย่างที่มึนเมา สูบทุกอย่างเป็นควัน สูดทุกอย่างที่เป็นผง และฟันทุกสิ่งที่มีชีพจร และในยุคสมัยนึงหลายๆคนให้ฉายาว่าเป็นวงร็อคที่อันตรายที่สุดในโลก แม้บ้านแตกสาแหรกขาดวิ่นดิ้นกระจายกันไปแล้วทั้งยังไม่มีวี่แววที่จะกลับมารวมกันใหม่ทั้งๆที่สมาชิกทุกคนยังมีชีวิตอยู่ ทั้งๆที่ชาวร็อคกว่าค่อนโลกยังรอและอยากให้กลับมาร่วมกันใหม่อีกครั้งแม้ปัจจุบันจะมีอัลบั้มใหม่ออกมาและยังใช้ชื่อเดิมแต่เหล่าสาวงรู็ดีว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิม นามของวงดนตรีนั้นคือ Guns N' Roses หรือชื่อไทยที่นักเขียนรุ่นก่อนตั้งให้ว่า กุหลายปลายปืน  

9/2/54

กุมภา 2011 เดือนแห่งความรักเดือนแห่งความร็อค

ค่ำคืนนี้ข้าพเจ้าได้พักจึงได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองจึงไม่มีเรื่องราวอะไรมากมายที่จะนำมาอัพเดทแต่ในโอกาสการเริ่มต้น blog ของเดือนแห่งความรักและความร็อค [คอนเสิร์ตร็อคเดือนนี้เยอะมากๆไปตามดูๆกัน]เข้าเรื่องเลยละกันคือคืนนี้ ก็อยากจะฝากกลอนที่เพิ่มแต่งเสร็จลงในโลกไซเบอร์ซะ 4-5 บทหน่อยอาจจะไม่สวยงามอะไรมากแต่อยากลงจะ copy ไปโพสที่อื่นก็เอาชื่อข้าพเจ้าไปด้วยละ

1

กวี ของฉันไม่มีใครจำ
กวี ของฉันนั้นไม่สำคัญ
กวี ของฉันไม่มีคำนำ
กวี ของฉันนั้นมันไม่ขำ

แต่

กวี ของฉันกำลังร่ายรำ่
ทุกท่วงทำนองนั้นคอยตอกย้ำ
บนเสียงดนตรีที่เป็นนิรันดร์
กวี ของฉันยังคงเดินทาง

จนถึง วันที่เธอ
ได้รับ มันจากตรงนี้
รอคอย ทุกเสี้ยวนาที
กวีนี้ ยังรอ 

กวี ของฉันมีเป็นร้อยพัน
กวี ของฉันนั้นมาจากความฝัน
กวี ฉันนั้นไม่เคยกดดัน
กวี ของฉันไม่เคยหลอกฟัน

กวี ของฉันนั้นคล้ายพระจันทร์
กวี เท่านั้นที่ฉันสร้างสรรค์
กวี ของฉันในทางกลับกัน
คงดันทุรัง ถ้าฉันไม่รอ

จนถึง วันที่เธอ
ได้รับ มันจากตรงนี้
รอคอย ทุกเสี้ยวนาที
กวีนี้ ยังรอ 
แค่รอให้เธอค้นพบมัน
แค่รอให้เธอสัมผัสมันจากหัวใจ
2

ฉันไม่เคยได้เป็นอะไรสำหรับเธอ
แต่เธอเป็นทุกอย่างสำหรับฉัน
ฉันมันแค่คนไม่มีใครรู้จัก        
แค่อยากเป็นคนสำคัญสำหรับเธอ

3

ชีวิตใช้สมองมากกว่าหัวใจ
ความรักข้างใน จิตใจมาก่อนสมอง

4

อยากจะบอกว่ายังรักเธออยู่
อยากให้รู้วันวานที่ผ่านมานั้น ยังเหมือนเดิม
และไม่ว่ามันจะนานแสนนานเท่าไหร่
ไม่ว่ามันต้องเจ็บเพียงไหนฉันจะไม่หวั่นไหว
แม้ต้องเจ็บต่อไป โดยไม่มีเธอ

5

อย่าคิดว่าเธอเจ็บ และยังกล้วที่จะเจ็บอีกครั้ง
เพราะจริงๆแล้วนั้นฉันก็เจ็บ และกลัวไปไม่น้อยกว่าเธอเหมือนกัน
อย่าอายที่จะบอก อย่าเขินที่จะเจอ
อย่าเก็บมันไว้ ปล่อยให้หัวใจเธอพาไป
แล้วสักวัน ก็จะเจอ

6

ฉันนั้นควรลืมเธอจากใจ แต่ยังไงก็ทำไม่ได้
ยังคิดถึงเธอเสมอและคำว่ารักไม่เคยหมด
แม้ว่าช่วงเวลาที่ดีสองเราไม่อาจจะย้อนคืนมาเหมือนเดิม
ชีวิตวันนี้ที่ไม่มีเธอ ต้องทนต้องทรมานไปนานสักเท่าใด

7

คนสองคนเดินร่วมทาง กาลเวลาเริ่มเปลี่ยนผัน
สองคนใช้ชีวิต ร่วมกัน มันไม่มีผิด มันไม่มีถูก
แค่เดินไปตามหัวใจ

ฉันและเธอก็เฉกเช่นกัน มีความฝัน ที่ร่วมกัน
และรักกันจนสุดหัวใจ
นาฬิกายังคงหมุนไป แต่แล้วทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปรผัน
เธอก็เปลี่ยน ฉันก็เลี่ยน เรื่องราวของเราต้องจบลงด้วยคำว่า
 
ลืมซะ ลืมซะ เธอบอกให้
ลืมซะ ลืมซะ เธอบอกให้
ลืมซะ ลืมซะ เธอบอกให้
ลืมซะ เรื่องของเรา

เมื่อความรักไม่พอ กับสองหัวใจ
สุดท้ายฉันไง ที่ให้ใจมากกว่า
ต้องเจ็บ กับคำว่า

ลืมซะ ลืมซะ เธอบอกให้
ลืมซะ ลืมซะ เธอบอกให้
ลืมซะ ลืมซะ เธอบอกให้
ลืมซะ เรื่องของเรา

ไม่ว่าใครก็ตามที่อ่านหรือเลื่อนมาถึงต้องนี้ก็ขอบคุณมากที่สละเวลาอ่านสิ่งที่เรียกว่า กลอน เพลง หรือ กวี รึเปล่าก็ไม่รู้

อริญชย์ ภาณุเวศย์
Wed 2.58   Feb/ 9 / 2011

4/1/54

Intelligent dance music [IDM]

ขณะที่ข้าพเจ้านอนไม่หลับในเวลาตีสี่สี่สิบห้าเพลงที่เปิดของ Autechr ก็กรอกหูอยู่เลยเริ่มนึกถึงชื่อเรียกของมันที่มีชื่อว่า Intelligent dance music [IDM] แล้วมันคืออะไรละ ตามความรู้อันน้อยนิดแล้วจะอธิบายให้มันง่ายๆก็คือ มันมาจากช่วงกระแสดนตรี บริทิช เรฟ ที่เค้าว่ากันว่ามันเกิดมาเพื่อรับใช้พวกเคี้ยวขนมนั่นแหละซึ่ง IDM ก็เป็นชื่อแนวย่อยที่ใช้เรียกดนตรีเต้นรำประเภทนึงที่มาจากยุค 90 โดยพัฒนามาจากเพลงประเภท เทคโน ซึ่งมีแนวที่ใกล้เคียงอย่างเช่น Ambient House, Experimental Techno , Minimal Techno ยัน Post-Rock แต่ IDM นั้นเป็นเพลงเต้นรำแต่ไม่สามารถเต้นตามได้ งงอะดิเป็นเพลงเต้นแต่เต้นไม่ได้ โดยส่วนใหญ่แล้วเพลงประเภท IDM นั้นจะผสมพวกสัดส่วนและสุ่มเสียงของเพลงพวก เทคโน เบรคบีท จังเกิ้ล ดรัม แอนด์ เบส และ แอมเบียนต์ ไว้และในด้านจังหวะและบีทจะซับซ้อนขึ้นมาแต่ไม่ได้ซับซ้อนตามแบบพวกโปรเกรซซีฟร็อค หรือ เทคนิคคัล เดธ อะไรแบบนั่นที่เปลี่ยนสัดส่วนกันซะทุกห้องแต่เพลง IDM นั้นจะมีบางช่วงจะ โน เทมโป และจะแทรก เสียงรบกวนหรือที่เรียกกัยว่า นอยซ์ เข้ามาซะเยอะเพลงอย่างวง Radiohead ก็มีอารมณ์ประมาณนี้แทรกอยู่บ้าง Sound ของเพลงประเภท IDMฟังดูจะล้ำๆกว่าเพลงเต้นรำทั่วไปหน่อยถ้าคนที่ไม่ชอบนั้นก็อาจจะรำคาญพลาดปิดแล้วเขวี้ยงแผ่นทิ้งกันได้เลยดนตรีอาจจะเล่นน้อยรวมถึงน้อยเสียงน้อยชิ้นแต่พอท่อนพีค กลับเยอะและซ้อนๆกันขึ้นมาซะงั้น รวมทั้งตัวเพลงยังมีอารมณ์ที่ฟังแล้วรู็สึกลอยๆผสมอยู่ในตัวเพลงสูงถึงสูงมากศิลปินจากค่าย Warp Records ส่วนใหญ่จะมีผลงานออกในแนวทางของ IDM ซะเยอะหรือ Rephlex Records ของไอ้หนุ่ม Richard David James หรือที่เรียกกันติดปากว่า Aphex Twin ก็อุดมด้วยศิลปินแนวนี้ถ้าอยากเข้าถึงก็ลองหางานของ Autecher, Plaid, Oval, B12, System 7, SeeFeel, Squarepusher, LFO, Locust มาลองกระแทกหูดู แต่ส่วนตัวผมขอตัวไปกดอัลบั้ม Richard D. James Album ของ Aphex Twinให้เพลินก่อนนะละ สวัสดี