7/12/58

เชียงใหม่ 1/11/1

จะมีสักกี่ครั้งที่คุณจะได้มีโอกาสกินอาหารมื้อเย็นแบบอินดี้ ถ้าคุณจินตนาการไม่ออกว่าเป็นแบบไหนผมลองอ่านสิ่งที่ผมกำลังจะเล่า
Hoppipolla จังหวะเเรกที่เห็นคือ ร้านแม่งโคตร ฮิปสเตอร์ ดูทรงร้าน อินดี้ ขับรถผ่านๆไม่สังเกตุก็จะไม่คิดว่าเป็นร้านอาหาร ตัวร้านจะอยู่เส้นสะเมิง ซึ่งไกลจากที่ผมพักผมนอน รร ชื่อ The Core เป็น รร เปิดใหม่แถว กาดมาลิน ห้องโอเค สะอาด เตียงนุ่ม ลองดูจากรูปเอา ส่วนจะให้ตัวผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เป็นคน กทม บ่ใจ้ คนเหนือ เอาเป็นไว้ใครอ่านแล้วอยากไปก็ลองเสิร์จหาจากแผนที่อีกที ร้านจะเปิดเย็นราวๆ 5 โมงปิดวันจันทร์ เห็นว่าเปิดมาได้ 1 ปีแล้ว  ตัวร้านบรรรยากาศดี มี3-4 โต๊ะ เหมือนกินอยู่ท่ามกลางป่าเขา บวกกับอากาศเย็นสบายเพราะร้านเปิดเย็น  ส่วนอาหารของทางร้านต้องโทรจอง ก่อน แต่วันที่ผมไปเหมือนดวงดี ดวงจะได้กิน เพราะ Walk-In ไป เจ้าของถามวางจองไว้รึเปล่า แฮะๆ ไม่ได้จองอะไรทั้งนั้นแหละเดินมาเพราะท้องมันเรียกร้องจากกลิ่นควันอันหอมหวลของการบรรจง ปิ้งย่างที่ออกมาจากครัว พี่เจ้าของบอกว่าถ้าไม่ได้จอง จะมีแค่ หมู กับ ไก่ เพราะ เนื้อยังไม่มาส่ง ถึงมาลูกค้าก็จองเต็มเเล้ว เพราะเค้าจะรับออเดอร์ต่อวันตามจำนวนที่จอง เมนู ร้านนี้ไม่มีเป็นเล่มให้เลือกอะไรมาก หลักๆ เลยคืออยากกินอะไร หมู ไก่ เนื้อ แล้วก็เลยวิธีทำ เช่น หมู ทำ BBQ หรือ ไก่อบน้ำผึ้ง หรือจะเป็น ซี่โครง ซึ่งมีให้เลือกไม่มากนัก น้ำก็มีแค่น้ำเปล่าเท่านั้น อยากดื่มเบียร์ต้องเดินไปร้านข้างๆฟิลคล้ายๆกัน แต่ขายเบียร์นอก วันนั้น ผมสั่งไปสอง ไก่ 1 เนื้อหมูธรรมดา BBQ  อีก 1 รอไป เล่นมือถือเดินถ่ายรูปในร้านเล่นไป อาหารไม่ได้มาเร็วมากนักเพราะคนทำคนเสิร์ฟคนเก็บเงินมีคนเดียว แต่ระหว่างรอ ก็จะมีเพลงแนว Post-Rock ,Folk Rock เปิดคลอให้ฟังจนตัวผมเอง งงว่าร้านอาหารเค้าเปิด Sigur Ros, Mogwai , TOE กันเหรอ เหมือนชื่อร้านจะเป็นเพลงของ Sigur Ros ด้วยรึเปล่าไม่แน่ใจผมไม่ใช่แฟนวงนี้ แต่ ดี เลย ลอย ล่อง เข้ากับ บรรยากาศและการตกแต่งของร้าน  ไม่ช้าไม่เร็วอาหารก็มาถึง ด้วยความหิวก็ซัดอย่างไม่รีรอ อาหารก็ดูในรูปเลย ผักผลไม้มาทั้งสวน พร้อมเนื้อชิ้นโต รสชาติ ผมขอไม่พูดอะไรมากละกัน ไม่ได้เซียนอาหาร หรือ ลิ้นเทพ เป็นนักรีวิว หม่อม นั้น หม่อมนี้ ไปออกรายการกระทะเหล็ก  กระทะเหลี่ยมอะไร แค่บอกได้ว่า เป็นรสชาติแบบ สเต๊กแบบมีกลิ่นพริกไทยหอมๆ ส่วนตัวชอบไก่มากกว่าหมู โดยรวมแล้วผมชอบที่นี้ เจ้าของร้านเข้ามาพูดคุยกับลูกค้าแนะนำเมนูแบบกันเอง ร้านสวย มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะสำหรับขาโซเชี่ยล ตกแต่งสวยดี แนะนำให้พาเมีย พาแฟน พาเด็ก พากิ๊กมา บรรยากาศมันโรแมนติกมากถ้ามาดินเนอร์กับแฟน ผมรับประกัน อิ่มแล้วไปหาอะไรดื่มร้านข้างๆซึ่งเดินไปได้ชิวดี ถ้ามีโอกาสไปแถวนั้นจะกลับไปอีกแน่นอน ยังไงคนที่อยากลองอะไรแปลกใหม่หรือถ้าคุณชอบร้านที่ เงียบ บรรยากาศดี คนไม่เยอะ ยุงก็ไม่เยอะ เจ้าของร้านง่ายๆราคาไม่แพงมาก สองอย่างไม่เกิน 500  แม่งคือใช่ !!
ปล.ถ่ายรูปไม่เก่งไม่ได้แต่งอะไรทั้งนั้น เป็นรูปจริงๆจากกล้องไอโฟนหกจะได้เห็นกันชัดๆไป








6/12/58

คนเหงาเล่าหนัง 3






Kingsman: The Secret Service
บ้าพลัง ระห่ำ ฮาขี้แตก
ได้ยินหลายคนชมว่าหนังดีนักดีหนาวันนี้ถึงเวลาได้จัดสักที บอกเลยว่าส่วนตัวชอบมากๆ เริ่มตั้งแต่ บทหนังที่ไม่ซับซ้อนตรงๆเข้าใจง่ายไม่ต้องคิดให้ปวดหัว มุมกล้องในฉากแอ็คชั่นแบบใหม่ๆ การล้อเลียนสไตล์หนังของ เควติน กับมุขตลกที่แทรกมาให้ได้ขำทั้งเรื่อง เช่นฉากรับประทานอาหารกับวาเลนไทน์ โคตร ฮา ความเป๊นกุ๊ยแบบอังกฤษ กับ ความเป็นผู้ดีจิบชายามบ่าย ล้อเลียน the shining และ เจมส์ บอนด์ เเบบเต็มขั้น และบ้าพลังสุดๆ กับตอนท้ายเรื่อง ทั้งจลาจลและระเบิด อันนี้สุดยอม ง่ายสั้นๆมีเวลาดูซะ และอย่างที่วาเลนไทน์บอกในหนัง "ถ้าคุณคิดว่าผมจะพูดอะไรให้มันซับซ้อนแล้วค่อยฆ่าคุณ แล้วคุณก็จะใช้วิธีที่คาดไม่ถึงดิ้นรนหนีเอาชีวิตรอด แต่นี่ไม่ใช่หนังแบบที่คุณคิดหรอก" 9.5/10 ‪#‎คนเหงาเล่าหนัง‬ ‪#‎movie‬ ‪#‎review‬

คนเหงาเล่าหนัง 2




Birdman
มันตลกนะ แต่มันไม่ใช่หนังตลกและก็ไม่ได้ฮาแบบดูตลกคาเฟ่แต่ผมขำเล็กใหญ่สลับกันไป กับหลายๆฉากในหนังเรื่องนี้ มันเป็นหนังที่เอาความจริงมาล้อเล่น เอามาเสียดสีอย่างแสบร้อนเผ็ดมันส์เช่น ตอนที่คนดูออกมาแล้วว่า องค์1 หวังทำได้ไม่เลว องค์ 2 น่าจะดีนะ ช็อตนี้มันเสียดสีหนังตัวเองไปในตัวเพราะครึ่งแรกของเรื่องผมให้ นอร์ตั้น เล่นได้ทรงพลัง และครึ่งหลังคือ คีตั้น ล้วนๆ หนังตะบันไล่กัดดะตั้งแต่ นายทุน โปรดิวซ์ ที่ต้องการกำไร จะทำหนัง ภาคต่อ Super Hero อะไที่มันขายได้ นักแสดง ที่เล่นหนังตลาด ทำเงินไม่ใช่นักแสดงแท้จริงแต่ต้องการเป็นจุดสนใจของผู้คนโดยการเป็น Net Idol เซเลบซะมากกว่า ยอมทำศัลยกรรมไม่ยอมแก่ นักแสดงบางคนที่เอาตัวเองเป็นหลักอินกับบทสูงจนลืมคนอื่นๆในกองบนพื้นฐาน ความเป็นจริง พวก EGOหนักจนไม่สามารถมีความสุขได้
หนังลามมากัดถึง นักวิจารณ์ ที่ชี้ชัดว่าหนังห่วยจ้องแต่จะเขียนบทวิจารณ์ทำลายหนังแต่กลับไม่ศึกษาหา ข้อมูลอย่างถ่องแท้ให้เข้าใจพอไม่เข้าใจก็ไปบอกด่าหนังเค้าว่า ห่วย คนดูประเภทที่ทีสนใจแต่ EFX ความรุนแรง เลือดกระสุน แต่กลับไม่สนใจ 'ศิลปะ' ของภาพเคลื่อนไหวจริงๆ ออกแนวตอน Cabin In The Wood กัด หรือ คนดูอีกประเภทที่บ้าศิลปะเกินเหตุหนังไทยไม่ดูหนังไม่แนวไม่ดูกูต้อง Hipster ดูแต่หนังอาร์ต คนดูที่ไม่ตั้งใจดู ไม่ให้เกียรติกับการดูหนัง ก้มเล่นโทรศัพท์ มาดูตามเค้าไม่ได้อยากมาดูจริงๆ
ด้านเทคนิคหนังแบบ Long Take ที่เคยดูก็มีแค่ตระกูล Before ภาคแรกถ้าจำไม่ผิดน่าจะ Sunrise แค่ภาคเดียวแล้วก็ไม่ได้ชอบสักเท่าไหร่ ส่วนตัวไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรมากเรื่องมุมกล้อง แต่ที่รู้สึกได้คือการตัดสลับมุมมองจากบุคคลที่สาม มา เป็น บุคลที่หนึ่ง ผ่านช็อต Long Take ทำให้หนังดำเนินเรื่องราวไปได้อย่างน่าสนใจ เมื่อดูจบก็สรุปได้ว่า ไม่เสียเวลาที่ดู

ปล. "พลังไม่ได้มีอยู่แค่ในยอดมนุษย์ คนธรรมดาก็มีได้เป็นตำนานได้ เพราะทุกชีวิตโหยหาและต้องการ การยอมรับไม่ในด้านใดก็ด้านหนึ่ง"
8/10
‪#‎คนเหงาเล่าหนัง‬

คนเหงาเล่าหนัง 1

Amy Winehouse
ชีวิต ที่โดนทำร้ายจากคนรอบตัวและความอ่อนแอจากก้นบึ้งของจิตใจตนเอง Amy Winehouse ตอนแรกผมนึกว่าเรื่องนี้เป็นหนังออกแนวสารคดี เรื่องราวในหนัง ไม่ขอเล่าแล้วกันเพราะหลายคนคงรู้จักเธอและจุดจบในชีวิตเธอเป็นอย่าดีอยู่ แล้ว แต่กลับเป็น ฟุตเทจ คลิป เสียงบันทึกข้อความ กับบทสัมภาษณ์ต่างๆที่ ไม่รู้ว่า ผกก ไปหามาได้ยังไง เหมือนรู้ล่วงหน้าว่าตัว Amy ต้องมีจุดจบแบบนี้ ตัว ผกก นำมาร้อยเรียงกันโดยดูได้ไม่เบื่อมีความเป็นหนังมากกว่าสารคดี เพลงแต่ละเพลงมาได้อย่างถูกจังหวะ พร้อมปูเนื้อ เรื่องจากคลิปที่นำมาร้อยเรียงลากเข้าสู่เนื้อเพลงที่แต่งออกมาจากชีวิตจริง อันน่าสงสารของเธอจากคนธรรมดาที่มีพรสวรรค์ในเสียงร้องเพลง มาเป้นคนของสังคม แล้วโดนกระทำจาก พ่อ แฟน สื่อ พิธีกร ปาปารัซซี่ ที่เล่นเธอไม่ยังอัดกระหน่ำ คนที่จะเจอแบบนี้แล้วอยู่ได้ในสถานการณ์ที่จิตใจย่ำแย่ คงต้องเป็นคนที่ใจแกร่งมากๆ ซึ่ง Amy ไม่ใช่ เธอกลับทำตัวเอง จมดิ่งลงสู่วังวนแห่งยาเสพติดหลายประเภท โค้ก แป๊ะ และอีกสารพัดชนิดที่เธอหามาใช้เพื่อทดแทนส่วนที่ขาดไปเหมือนข่าวที่หลายๆคน น่าจะเคยอ่าน แม้จะกลับมาได้ แต่ชีวิตเธอกลับตัดมันไม่ขาด จนถึงจุดสุดท้ายของลมหายใจ หลังจากดูจบ แอบคิดเล็กๆว่า หนังนี้มันหาแดกกับคนตายรึเปล่าแล้วเราก็เป้นเหยื่อ แต่สุดท้ายแล้ว ชีวิตจะสอนเราเองแหละว่าชีวิตควรจะดำเนินมันไปยังไง ซึ่งเธอไม่ได้อยู๋ฟัง สุดท้ายแล้วขอทิ้งด้วยคำกล่าวของเธอกับ บอดี้การ์ดก่อนเธอจากไป “ ฉันร้องเพลงได้
แต่ถ้าให้แลกมันกับการได้ออกมาเดินบนถนนเหมือนคนปกติ
ที่ไม่มีคนมาวุ่นวาย
...ฉันยอมนะ ”
‪#‎คนเหงาเล่าหนัง‬
ปล.ไม่เสียเวลาไม่เสียเงินฟรีนะ รีบตีตั๋วไปดูเลย



25/1/56

สวัสดีปีใหม่ 2013

แล้วเราก็อยูรอดกันมาอีกปีผ่านพ้นเรื่อง 2012 ของชนเผ่า มายัน กันไปแต่มีชนเผ่า มาเมา มาแทน อาจจะไม่ได้เขียนนานเพราะไม่ว่างและไม่มีอะไรจะเขียนแต่ช่วงนี้เริ่มว่างๆเลยว่าจะเขียนอะไรใหม่ๆซะหน่อยแต่ก็ยังไม่ได้ลงมืออย่างจริงจังสักที แต่คาดว่าเร็วๆนี้น่าจะเขียนเรื่องของ Guns N' Roses ต่อให้เสร็จๆสักที ยังไงวันนี้เอางานจาก พญาอินทรีแห่งสวนอักษร มาให้อ่านกันซึ่งเหมือนจะเขียนเป็นหนังสือแจกฟรีกับนิตยสาร อะเดย์  ที่นำมาลงเพราะคิดว่ายังมีหลายๆคนที่ไม่ได้สัมผัสกับงานชิ้นนี้อยากให้อ่านเลย ยังไงแพล่มมากเมื่อยมือ อ่านเลย 





อ่านแล้วรู็สึกลงลึกไปในป่าดงดิบแห่งตัวอักษรเหมือนตัวข้าพเจ้ารึเปล่า


 

1/12/54

The Mousses - 20 Something

'THE MOUSSES' กับอัลบั้มแรกในชีวิต

บทความนี้จะอธิบายทุกแทรคของอัลบั้มแรกในชีวิตของข้าพเจ้าโดยสังเขปและง่ายต่อการทำความเข้าใจโดยการไม่ใช้ศัพท์ทางดนตรีที่ยากเกินไปจนคนทั่วไปไม่อาจจะเข้าใจมันได้เชิญอ่านครับ


"เจ้าชายกับเจ้าหญิง" เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ทำให้ The Mousses กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ด้วยซาวด์ดนตรีและเนื้อหาที่เข้าใจง่ายขึ้น และแต่งมาจากความรู้สึกส่วนลึกของ ความเป็นจริงของชีวิต ถ้าเรารักใครสักคนหนึ่ง เราก็อยากให้เขามีความสุขที่สุด… แต่ในเมื่อความเป็นจริงเราไม่สามารถทำได้อย่างที่มันควรจะเป็น เราก็ควรปล่อยให้เขาไปอยู่กับคนดีที่สามารถดูแลได้ดีกว่า…เป็นการดีไซน์การ จัดวางเครื่องดนตรี สไตล์ Vintage ต่างๆ เพื่อเล่าเรื่องตามบรรยากาศของเพลง เป็นเพลงที่มีกลิ่นซาวด์ดนตรี ยุค70's เช่น การใส่ Music Box เล่นไปพร้อมกันกับ Acoustic Guitar  เพื่อให้อารมณ์คล้อยตามเหมือนการเล่านิทาน…

"...บ้างไหม? (จุด จุด จุด บ้างไหม)" เพลงฟังสบายๆ  เข้าใจง่าย  และยังคงถ่ายทอดเนื้อหาเป็น Positive Thinking พูดถึงคนรัก คิดถึงคนรักที่อยู่ไกลกัน ไม่ได้เจอกัน อยากจะถามเธอว่าคิดถึงกัน…บ้างไหม   อยากจะกอดฉัน…บ้างไหม เธอเมื่อยรึเปล่าฉันก็จะนวดให้  เพราะฉันคิดถึง อยากกอดและอยากนวดให้เธอ…ยังคงยึดการทำเพลงแบบเดิมที่ฟังง่าย ใช้เอฟเฟค Analog จะทำให้เพลงดู Vintage  ซึ่งเราก็ใช้แบบ Analog มาตั้งแต่เพลงเจ้าชายกับเจ้าหญิงแล้ว และเพลงเจ้าชายกับเจ้าหญิงเราใช้มิวสิคบอกเข้ามาเพื่อเพิ่มมิติของเพลง เพลงนี้ The Mousses ได้ทำ Free Hugs กับแฟนๆเพื่อให้ทุกคนได้รับพลังความรักจากหนุ่มๆ The Mousses ไปเต็มๆ

"สอง เราตราบชั่วนิจนิรันดร์" ในขณะที่ทุกๆอย่างกำลังเดินไปข้างหน้า แต่สิ่งเดียวที่มันกลับถอยหลัง และกำลังหยุดลง คือ หัวใจของผู้ชายคนนี้ที่มันร้องบอกกับตัวเองว่า ผมเจอแล้วกับผู้หญิงคนนี้ ผมพอแล้ว นี่คือสิ่งที่แสนดีที่สุดในชีวิต และสัญญาว่าจะรักเธอไปจนตราบชั่วนิจนิรันดร์ เป็นเพลงที่มีซาวด์ดนตรี indy pop และโดดเด่นด้วยการเล่นโน้ตพร้อมกันของกีต้าร์และสตริง มีสแนร์แบบวินเทจ และมีเมโลดี้ที่สละสลวยมากๆ

"ท้อ" เพลงนี้พูดถึงในช่วงเวลาที่กำลังสิ้นหวัง อ่อนแอ เป็นคำพูดที่เก็บเอาไว้เตือนตัวเองเสมอว่า อย่าเพิ่งยอมแพ้ อย่าไปท้อ เหมือนเป็นการให้กำลังใจตัวเองในวันที่หมดแรงด้วย ให้ลุกขึ้นมาก้าวเดินต่อไป ให้ถึงจุดหมายที่เรากำลังจะไป เพลงนี้สมาชิกในวงมีท่อนร้องกันทุกคนเพื่อรวมพลัง และเป็นกำลังใจ ให้กับคนที่กำลังท้ออยู่

"ลัก" เพลงนี้พูดถึงการสูญเสียคนรักแบบไม่รู้ตัว…อยู่ๆวันหนึ่งคนรักเกิดหายตัวไป  ทำให้คิดไปต่างๆนานา ถึงสาเหตุที่เขาหายไป กุญแจของเพลงนี้ คือการเล่าเรื่องโดยผ่านการเปรียบเทียบในเพลง ที่เธอหายไปน่ะ…“โดนลักพาตัว หรือ เต็มใจไปกับเขา” กันแน่และไม่ว่าเขาจะหายไปเพราะสาเหตุใด ฉันก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เธอ คนนั้นกลับมา…เป็นซาวด์วินเทจเหมือนเดิม เพิ่ม ริน มือคีย์บอร์ดเข้ามาเป็นสมาชิกในวง มีการนำอคูสติคแกรนด์เปียโน  มาใช้ในเพลงเพื่อรับกับสไตล์ BalladRock ส่วนการร้องในเพลงนี้มีการพัฒนาอารมณ์เป็นช่วง จะเป็นอย่างไรต้องลองฟังกันดู

"แม้เธอจะน้อย" เพลงนี้บาส(มือเบส) เขียนขึ้นมาให้กับคนที่รัก เพื่อที่จะบอกว่า “ไม่ว่าเวลาหรือความรักของเธอที่มีให้ จะน้อยเพียงไหน แต่ผมก็จะรู้สึกกับเธอเหมือนเดิม” และความรู้สึกนี้บาสจึงได้รับหน้าที่นักแต่งเพลงและยังรับบทบาทเป็นนักร้อง ในเพลงนี้ด้วยส่วนซาวดนตรีเพลงนี้เป็นเพลงสไตล์อเมริกัน ฮาร์ดร็อคแบบดิบๆ และเป็นเพลงที่หนักที่สุดในอัลบั้ม

"โปรด" ณ วันนี้ที่ไม่มีเธออยู่ข้างๆเหมือนเดิม สิ่งเดียวที่ไม่เคยได้บอก และอยากจะบอกกับเธอในวันนี้คือ “รักของผมนั้นยังคงอยู่ ยังอยากบอกเธอเสมอ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีวันเหมือนเดิม ทั้งๆที่ก็อยากให้กลับมารักกันเหมือนเดิมเหลือเกิน” ได้แต่อ้อนวอนกับท้องฟ้าและดวงดาวให้เธอกลับคืนมาในสักวัน...เพลงนี้เป็นการ ทดลองที่จะทำเพลงสไตล์ ชิลเอ้า ในแบบ เดอะมูส มีทั้งกลองที่ใช้ไม้แส้ เสียงทรัมเป็ต โซโล่ เสียงfender rhodes piano

"จูบสุดท้าย" เนื้อหาและความหมาย…ในเหตุการณ์ของคนที่เลิกรากันไป บ้างก็จากกันไม่ดี บ้างก็ประชดประชัน บ้างก็แค้นฝังใจกันไป มันจะกลายเป็นความเจ็บปวดของทั้ง 2 ฝ่าย เราเลยเลือกที่จะขอ “จูบสุดท้าย” จากคนที่รัก ถือเป็นคำขอครั้งสุดท้ายก่อนจะจากกันไป มันน่าจะเป็นความทรงจำที่ดีต่อกันและกันมากกว่า เป็นเพลงมีจังหวะที่ทำให้ทุกคนขยับไปกับพวกเราได้  เสียงออดอ้อนที่ถือเป็นคำขอและอ้อนวอนให้สมกับเป็น “จูบสุดท้าย” จริงๆ เพลงนี้มีการปรับเปลี่ยนแนวมาเป็นยุค80'sอย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องของการเรียบเรียง การใช้เสียงเครื่องดนตรี และกลองโดยเฉพาะกับคีย์บอร์ดที่ใช้ซาวด์8บิทจากยุคนั้น มาใช้กับเพลงนี้อย่างเต็มที่

"Tears and Travel" Feat. ออน ละอองฟอง เพลงนี้เป็นเพลงคู่ซึ่งในตอนแรกทางวงก็ได้คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นใคร ที่จะมาร้องคู่กับแอร์ดี สุดท้ายก็ได้ ออน นักร้องนำวงละอองฟองมาร้อง Feat ด้วยน้ำเสียงและคาแรคเตอร์ของออนทำให้เพลงนี้มีมิติมากขึ้น  เนื้อหาของเพลง...ผู้ชายคนหนึ่งได้ปลอบใจผู้หญิงที่แอบชอบมานาน ซึ่งผู้หญิงคนนี้อยากจะลืมคนรักเก่า และอยากจะลืมเรื่องราวที่ผ่านมา อยากเดินทางไปที่ต่างๆเพื่อลืม โดยที่มีเราไปเป็นเพื่อนคอยปลอบ คอยซับน้ำตาให้เป็นเพลงสไตล์โฟล์คร็อค เพลงนี้ได้มีการทดลองใช้เมโลเดี้ยน และมีการเล่นสไตล์ mute เบส

"ชีวิตที่เคยมีเรา" เป็นเพลงที่จ๊ะได้แต่งให้กับคุณพ่อที่ล่วงลับไปแล้ว “ถึงแม้ว่าเราไม่อาจจะฝืนโชคชะตาไว้ได้ แต่ยังไงก็ตาม ผมดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของท่าน แค่เราได้มีชีวิตและเกิดมาอยู่ด้วยกัน มันก็คือความสุขที่สุดของผมแล้ว” จ๊ะได้ร้องผ่านเพลงนี้ เพลงนี้เป็นเพลงสไตล์บัลลาดร็อคที่โดดเด่นด้วยโครงสร้าง song form แบ่งชัดเจนระหว่างช่วงแรกที่บรรเลงด้วย grand piano กับครึ่งหลังที่เป็นดนตรีที่หนักหน่วง

"สราญ" พูดถึงมุมมองการใช้วิถีชีวิตแบบสุขนิยม   โดยใช้ความรักเป็นตัวนำทาง    โลกสมัยนี้วุ่นวายมีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์เกิดขึ้น  เครียดบ้างอะไรบ้าง  พวกเราThe Mousses เลยอยากให้ทุกคนรักกันมีความสุข สราญ กัน Sound ดนตรีเพลง “สราญ”?เป็นสไตล์ผสมระหว่างเพลงป๊อบยุค70's กับสไตล์ดนตรีแบบโพสท์พั้งค์ยุค 80 's  ส่วนในด้านเมโลดี้จะมีมุมมองและความคิดลักษณะแบบฮิปปี้จากยุค70's มีการประสานเสียงและการร้องสวนกันแบบนั้น






“TWENTYSOMETHING”
…หลายๆคนพอถึงช่วงอายุ 20 มันเป็นช่วงเวลา ที่ต้องค้นหาตัวเอง ว่าชีวิตจะเดินไปทางไหน บางคนอาจเจอเร็ว บางคนอาจต้องใช้เวลาก็เช่นกัน....ถึงเวลาที่พวกเขาต้องกำหนดชีวิตของตัวเอง ในการเดินทางค้นหาความต้องการ ความรัก ความฝัน พวกเราค้นหา และทุ่มกับสิ่งที่ “ใช่” มาเป็นระยะเวลา 4 ปี ในการทำสิ่งที่ตัวเองรัก นั่นก็คือการเล่นดนตรี เมื่อเป็นเส้นทางที่เลือก ทุกคนก็ต้องบ่มและฝึกตัวเองมากมายหลายอย่าง และกว่าจะเป็นวง The Mousses ในวันนี้ จริงๆแล้วทางเดินมีหลายเส้นทาง เราเลือกเดินไปทางไหนก็ได้ แต่การค้นหาในสิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองฝัน สิ่งที่ตัวเองต้องการและอยากจะเป็น ฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ถึงจุดหมาย มันจะมีค่าและก็ภูมิใจกับที่นั้นที่สุด


ดาวน์โหลดเพลงของพวกเราได้ที่ โทร *1230023 แล้วกดโทรออก อย่ากดวางหูล่ะ

13/11/54

บทกวี อริญลันตา

ไม่รู้ว่าจะเรียกเป็นบทกวีได้ไหม เพราะเหมือนเขียนขึ้นอย่าลวกๆระหว่าการเดินทางทริปใต้เกือบสองอาทิตย์ผ่านพบเจอผู้คนมากมาย เจอเหตุการณ์มากมาย ไปหลายที่หลายเกาะ หลายจังหวัด สิ่งที่เขียนนี้ใช้เวลาว่างระหว่างอยู่บนเรือ ในบาร์ และช่วงเวลาริมทะเล จะทยอยๆลงให้หมดแต่ตอนนี้เอาไปแค่นี้ก่อนขอเรียบเรียงอีกทีแล้วจะจัดให้ชุดเต็ม แล้วเจอกันโอกาสหน้า

บทกวี อริญลันตา

1
อันดามันและแล้วข้าพเจ้าก็มาถึง
ทะเลสีครามแสนไกลมองไปไร้ที่สิ้นสุดนั้น
อยู่ในสายตา
แสงแดดอุ่นระเรือ นั้นฉาบบนผิวกายข้า
ขณะที่ละเลียดควันบุหรี่ลงปอดอย่างช้าๆ
กลิ่นเหม็นคลุ้ง กัญชา จากชายถักเดดร็อคก็ลอง ลอยมา ไม่ต้องพยายามมองหาก็เจอต้นตอ
ข้าพเจ้า สั่งน้ำแข็งเปล่า รินวอดก้าดิบๆลงไป และดื่มให้ชื่นใจ และเพื่อให้พ้นจากวันเหนื่อยๆที่ผ่านมา ปลดปล่อยจิตและกายไปกับวันที่เหนื่อยล้า
จากก้าวแรกที่ได้สัมผัส ทำให้นึกถึงวันเวลาดีๆเมื่อครั้งก่อนซึ่งสอนทำให้รู้ว่า การสร้างประสบการณ์ดีๆกับชีวิตนั้นช่างยากเย็น แต่การลืมมันนี่สิยากกว่า

ยิ้มสิ ฉันบอกตัวเอง เมื่อเริ่มสำเหนียกได้ว่านั้นเป็นการเปิดประตูบานแรกของการรู้จักคนแปลกหน้า ในโลกว่าชนชาติใดแล้วแปรเปลี่ยนจากสถานะคนแปลกหน้าของคนผู้นั้นเป็นมิตรภาพ ที่ไม่ว่าสไตล์ชีวิตจะต่างกันขนาดไหน สูบบุหรี่ ไลท์ หรือ เมนทอล ดื่ม เบียร์ หรือ วิสกี้ สูบ กัญชา หรือ โคเคน นั้นก็ไม่ได้ทำให้เราต่าง แปลก หรือเหนือความเป็นมนุษย์ขึ้น เพราะไม่ว่าจะ ภาษา สีผิว ศาสนา หรือแม้แต่ รอยสัก ไม่ได้แบ่งแยกคำว่า มนุษย์ออกจากกัน ในเมื่อมิตรภาพนั้นสำคัญ ใยจึงไม่หยิบยื่นให้กันละ แค่ขีดเส้นเป็นเขตแดน แล้วนำธงมาปัก มันใช้แล้วหรือ เช้านี้ฉันพบเพื่อนใหม่ มิตรภาพช่างเป็นสิ่งที่ดี แค่อย่างเดียว ถอดหน้ากากของคุณออกก่อนที่จะเริ่มต้นมัน

2
การเดินทางแบบไม่กำหนดจุดหมาย
เหมือนเรากระโจนสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่
แล้วลอยตัว ปล่อยให้คลื่นมันพัดพบไป จะซัดเราไปจนจุดไหนก็ไม่รู้ ถึงแม้เราจะโกหกตัวเองได้ แต่คลื่นลม มันเป็นพยานปากสำคัญอยู่ บางทีการปล่อยให้มันไหลอาจทำให้เรารู้ว่าโลกนั้นกว้างใหญ่ แต่สิ่งที่เกินกว่านั้นอาจทำให้เราตระหนัก ได้ว่า
ลมหายใจของชีวิตไม่ได้มีแค่ คอยนับกำไร คอยเช็ครอบเอว คอยอัพสเตตัส คอยถ่ายรูปอาหารก่อนกิน หรือแม้แต่คอยทำบางสิ่งทั้งๆที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องจะทำไปทำไม อาจจะเพื่อปากท้อง หรือต่อลมหายใจ แต่ถ้าพรุ่งนี้ไม่ได้ตื่นขึ้นมา สิ่งที่อยากทำในวันนี้คืออะไร มนุษย์เราทำเพื่อสนองความอยาก กิเลส ตัณหา แล้วทำไมวันนี้ไม่ทำสิ่งที่อยากทำละ หรือต้องจมอยู่กับคำว่า พอใจ ที่จะเป็นแบบนี้ หรือจะเลือกคำว่า พอเถอะ ฉันจะเลือกสิ่งที่ฉันอยาก